ออมทอง Vs กองทุนรวมทองคำ แบบไหนเหมาะกับการสร้างความมั่งคั่งระยะยาว
ทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยที่คนไทยนิยมลงทุนมายาวนาน แต่ในยุคนี้เรามีทางเลือกมากขึ้น ทั้งการออมทองแบบดั้งเดิมที่ซื้อทองคำแท่งหรือเครื่องประดับ กับการลงทุนในกองทุนรวมทองคำที่สะดวกและทันสมัย คำถามสำคัญคือแบบไหนจะตอบโจทย์การสร้างความมั่งคั่งระยะยาวได้ดีกว่ากัน บทความนี้จะพาคุณวิเคราะห์อย่างรอบด้านเพื่อหาคำตอบที่เหมาะกับคุณ
หากคุณยังไม่ได้ทำความเข้าใจการลงทุนในทองคำพื้นฐาน เราแนะนำให้อ่าน บทความนี้ก่อน “การลงทุนทองคำ ปี2026 เปรียบเทียบ 5 วิธีทำกำไรพร้อมผลตอบแทนจริง” เพื่อให้เพิ่มความเข้าใจเพื่อเจาะลึกในเนื้อหานี้มากขึ้น
ทำความรู้จักการออมทองแบบดั้งเดิม
การออมทองในรูปแบบดั้งเดิมหมายถึงการซื้อทองคำแท่ง ทองรูปพรรณ หรือเครื่องประดับทองคำเก็บไว้ วิธีนี้เป็นที่นิยมมาอย่างยาวนานเพราะทองคำเป็นสินทรัพย์ที่จับต้องได้ มีมูลค่าในตัวเอง และเป็นที่ยอมรับทั่วโลก
คนไทยส่วนใหญ่คุ้นเคยกับการซื้อทองจากร้านทองในย่านต่างๆ โดยเฉพาะย่านเยาวราช ที่มีการซื้อขายคึกคักทุกวัน ราคาทองในประเทศไทยอิงกับราคาทองคำโลก แต่คิดเป็นหน่วยบาททองคำ ซึ่งหนึ่งบาททองคำเท่ากับ 15.244 กรัม ราคาซื้อขายจะเปลี่ยนแปลงตามราคาตลาดโลกและอัตราแลกเปลี่ยน
การออมทองแบบนี้มีข้อดีคือได้เป็นเจ้าของทองจริงๆ สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย ทั้งสวมใส่เป็นเครื่องประดับ นำไปจำนำเมื่อต้องการเงินด่วน หรือขายคืนเมื่อราคาขึ้น นอกจากนี้ทองคำยังไม่มีวันหมดอายุ เก็บไว้นานเท่าไหร่ก็ยังคงมูลค่า
กองทุนรวมทองคำ ทางเลือกยุคใหม่
กองทุนรวมทองคำเป็นการลงทุนในทองคำผ่านกองทุนรวม โดยไม่ต้องถือครองทองจริง กองทุนจะนำเงินไปลงทุนในทองคำแท่ง หรือตราสารที่อิงกับราคาทองคำ เช่น Gold ETF ในต่างประเทศ ผู้ลงทุนจะได้รับหน่วยลงทุนแทนการถือทองจริง
ในประเทศไทยมีกองทุนรวมทองคำให้เลือกหลายกอง ทั้งที่ลงทุนในทองคำแท่งโดยตรง และที่ลงทุนผ่าน Gold ETF ต่างประเทศ การซื้อขายทำได้ง่ายผ่านธนาคารหรือบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เริ่มต้นลงทุนได้ตั้งแต่หลักพันบาท และสามารถลงทุนแบบสม่ำเสมอผ่านการทำ Dollar Cost Averaging
ข้อดีของกองทุนรวมทองคำคือความสะดวกในการซื้อขาย ไม่ต้องกังวลเรื่องการเก็บรักษา ไม่มีความเสี่ยงจากการถูกขโมย และสามารถขายคืนได้ทุกวันทำการในราคาที่เป็นธรรมตามมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ
เปรียบเทียบผลตอบแทนและความเสี่ยง
เมื่อมองในแง่ผลตอบแทน ทั้งการออมทองและกองทุนรวมทองคำต่างอิงกับราคาทองคำโลกเป็นหลัก แต่มีปัจจัยอื่นที่ทำให้ผลตอบแทนแตกต่างกัน
การออมทองแบบดั้งเดิมจะได้ผลตอบแทนจากส่วนต่างราคาทองที่ขึ้น แต่ต้องคำนึงถึงส่วนต่างระหว่างราคาซื้อและราคาขาย ซึ่งปกติอยู่ที่ประมาณ 200-500 บาทต่อบาททองคำ ขึ้นอยู่กับร้านและประเภทของทอง ทองรูปพรรณจะมีค่ากำเหน็จเพิ่มขึ้นมาอีก ทำให้ต้องรอให้ราคาทองขึ้นพอสมควรถึงจะได้กำไร
กองทุนรวมทองคำมีค่าธรรมเนียมการจัดการปีละประมาณ 0.5-1.5% ของมูลค่าเงินลงทุน และมีค่าธรรมเนียมซื้อขายประมาณ 0.25-1% แต่ส่วนต่างราคาซื้อขายแคบกว่าทองแท่งมาก บางกองทุนยังได้ประโยชน์จากอัตราแลกเปลี่ยนหากลงทุนในทองคำต่างประเทศโดยไม่ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน
ในด้านความเสี่ยง ทั้งสองแบบมีความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาทองคำเหมือนกัน แต่การออมทองมีความเสี่ยงเพิ่มเติมจากการเก็บรักษา การถูกขโมย หรือการปลอมแปลง ขณะที่กองทุนรวมทองคำมีความเสี่ยงจากการบริหารจัดการของกองทุนและความมั่นคงของสถาบันการเงิน
ภาษีและค่าใช้จ่ายที่ต้องพิจารณา
ประเด็นภาษีเป็นสิ่งสำคัญที่หลายคนมองข้าม สำหรับการออมทองแบบดั้งเดิม หากซื้อขายทองคำแท่งจะได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่ทองรูปพรรณต้องเสีย VAT 7% ส่วนกำไรจากการขายทอง หากไม่ได้ซื้อขายเป็นอาชีพ จะไม่ต้องเสียภาษีเงินได้
กองทุนรวมทองคำที่จดทะเบียนในประเทศไทย หากถือครองนานกว่า 5 ปีปฏิทิน จะได้รับยกเว้นภาษีจากกำไรส่วนเกิน แต่ถ้าขายก่อน 5 ปี ต้องเสียภาษี 15% จากกำไร นอกจากนี้ยังมีกองทุน LTF/RMF ที่ลงทุนในทองคำ ซึ่งสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ แต่มีเงื่อนไขการถือครองตามที่กฎหมายกำหนด
ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่ต้องคิดรวมด้วย สำหรับการออมทองคือค่าตู้นิรภัยหรือค่าฝากเก็บ ประกันภัย และค่าตรวจสอบความบริสุทธิ์หากไม่มั่นใจ ส่วนกองทุนรวมทองคำมีค่าธรรมเนียมการจัดการและค่านายหน้าซื้อขายที่ชัดเจน คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของเงินลงทุน
สภาพคล่องและความยืดหยุ่นในการลงทุน
การออมทองแบบดั้งเดิมมีสภาพคล่องดีในเมืองใหญ่ที่มีร้านทองหลายร้าน สามารถขายได้ทันทีในเวลาทำการ แต่ในต่างจังหวัดอาจมีข้อจำกัด ราคาที่ได้อาจแตกต่างกันบ้างตามแต่ละร้าน และถ้าเป็นทองรูปพรรณอาจขายได้ราคาต่ำกว่าทองคำแท่ง
กองทุนรวมทองคำมีสภาพคล่องสูง สามารถซื้อขายได้ทุกวันทำการผ่านช่องทางออนไลน์ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ทำรายการได้ ราคาซื้อขายเป็นมาตรฐานเดียวกันทุกช่องทาง และเงินจะเข้าบัญชีภายใน 2-3 วันทำการ
ในแง่ความยืดหยุ่น กองทุนรวมทองคำเหมาะกับการลงทุนแบบทยอย สามารถลงทุนเป็นจำนวนเล็กๆ สม่ำเสมอ บางกองทุนเริ่มต้นแค่ 1,000 บาท ขณะที่การออมทองต้องมีเงินก้อนพอสมควรถึงจะซื้อได้ 1 สลึง หรือครึ่งบาททองคำ
แบบไหนเหมาะกับใคร
การเลือกระหว่างการออมทองกับกองทุนรวมทองคำขึ้นอยู่กับเป้าหมาย ไลฟ์สไตล์ และความพร้อมของแต่ละคน
การออมทองแบบดั้งเดิมเหมาะกับคนที่ชอบความเป็นรูปธรรม ต้องการสินทรัพย์ที่จับต้องได้ มีที่เก็บปลอดภัย หรือต้องการใช้ประโยชน์จากทองในรูปแบบอื่น เช่น สวมใส่หรือจำนำ เหมาะกับคนที่มีเงินก้อนและไม่ต้องการความยุ่งยากในการเปิดบัญชีลงทุน
กองทุนรวมทองคำเหมาะกับคนรุ่นใหม่ที่ต้องการความสะดวก ไม่อยากเก็บของมีค่าไว้เอง ชอบลงทุนแบบทยอยเป็นประจำ และต้องการใช้ประโยชน์ทางภาษี เหมาะกับคนที่มีเงินลงทุนไม่มากแต่อยากเริ่มสะสมทองคำ
สำหรับการสร้างความมั่งคั่งระยะยาว หลายคนเลือกผสมผสานทั้งสองวิธี โดยมีทองคำแท่งเป็นสินทรัพย์หลักที่เก็บไว้ยามฉุกเฉิน และใช้กองทุนรวมทองคำในการลงทุนแบบทยอยเพื่อเฉลี่ยต้นทุน วิธีนี้ช่วยกระจายความเสี่ยงและใช้ประโยชน์จากข้อดีของทั้งสองแบบ
บทสรุป
ทั้งการออมทองและกองทุนรวมทองคำต่างมีจุดเด่นจุดด้อย ไม่มีคำตอบตายตัวว่าแบบไหนดีกว่า แต่ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละบุคคล สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจลักษณะของการลงทุนแต่ละแบบ วางแผนให้สอดคล้องกับเป้าหมายทางการเงิน และกระจายการลงทุนอย่างเหมาะสม
และสำหรับใครที่สนใจในด้าน กองทุนรวมทองคำ เราได้รวบรวม กองทุนรวมที่ให้ผลตอบแทนสูง โดยเน้นที่ลงทุนในด้านทองคำเฉพาะ สามารถดูได้ที่บทความ “ 5 กองทุนรวมทองคำ ผลตอบแทนแรงสุดปี 2025 (คัดมาให้แล้ว!)”
ในภาพรวม กองทุนรวมทองคำอาจเหมาะกว่าสำหรับคนที่ต้องการความสะดวกและมีเงินลงทุนจำกัด ขณะที่การออมทองแบบดั้งเดิมเหมาะกับคนที่มีเงินก้อนและต้องการสินทรัพย์ที่จับต้องได้ แต่ทางที่ดีที่สุดคือการผสมผสานทั้งสองวิธีตามสัดส่วนที่เหมาะสม เพื่อสร้างพอร์ตการลงทุนที่แข็งแกร่งและยั่งยืนในระยะยาว
