trustfinance-logo
TrustFinance

Gas Fee คืออะไร? จากจุดเริ่มต้นของ Ethereum สู่หัวใจสำคัญของโลกคริปโต

User profile image

Thanakit Sutto

Thg 05 14, 2025

74

|

3 min read


Blog image

 

การเดินทางของคำว่า "Gas"

หากคุณเคยทำธุรกรรมในโลกคริปโต ไม่ว่าจะเป็นการโอนเหรียญ แลกเปลี่ยนผ่านแพลตฟอร์ม DeFi หรือการซื้อขาย NFT มีโอกาสสูงที่คุณจะเคยเจอกับคำว่า "Gas Fee" และบางครั้งคุณอาจเคยประสบปัญหาค่าธรรมเนียมที่สูงจนน่าตกใจ เช่น จ่ายค่าธรรมเนียม $20 เพื่อโอนเหรียญมูลค่า $10 นั่นอาจทำให้คุณสงสัยว่า ค่าธรรมเนียมเหล่านี้มาจากไหน และทำไมต้องมีมันตั้งแต่แรก

คำว่า "Gas" เกิดขึ้นครั้งแรกในปี 2015 พร้อมกับการเปิดตัวของเครือข่าย Ethereum โดย Vitalik Buterin และทีมผู้ร่วมก่อตั้ง Ethereum ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นแค่ระบบโอนเหรียญแบบ Bitcoin แต่เป็น "คอมพิวเตอร์โลก" ที่สามารถรันโปรแกรมอัตโนมัติ หรือที่เรียกว่า Smart Contract

เมื่อคุณส่งคำสั่งให้ Smart Contract ทำงาน เช่น ฝากเหรียญเข้า Liquidity Pool หรือทำ Swap ใน DEX สิ่งที่เกิดขึ้นเบื้องหลังคือมีใครบางคนต้องใช้ทรัพยากรคอมพิวเตอร์เพื่อประมวลผลคำสั่งนั้น และในโลกที่ไม่มีตัวกลางแบบ Blockchain เราไม่สามารถบอกใครให้ทำงานฟรี ๆ ได้ นี่คือเหตุผลว่าทำไมจึงต้องมีระบบค่าธรรมเนียม หรือที่เราเรียกกันว่า Gas Fee

ทำไมต้องจ่าย Gas?

Gas ทำหน้าที่เสมือนเป็น "น้ำมัน" ที่ขับเคลื่อนธุรกรรมให้เดินทางไปถึงจุดหมายปลายทางได้สำเร็จ กล่าวให้ชัดกว่านั้น มันคือกลไกทางเศรษฐศาสตร์ที่ถูกออกแบบให้คนที่ใช้งานระบบ ต้อง “จ่าย” เพื่อแลกกับการใช้ทรัพยากรในเครือข่าย

การจ่ายค่าธรรมเนียมนี้ยังทำให้ระบบมีแรงจูงใจ — ผู้ที่คอยตรวจสอบและยืนยันธุรกรรม หรือที่เราเรียกว่า Validator หรือ Miner ในระบบ Proof-of-Work จะได้รับค่าตอบแทนเป็น Gas ซึ่งเป็นรางวัลในการรักษาความปลอดภัยของเครือข่าย ดังนั้น Gas ไม่ใช่เพียงค่าธรรมเนียม แต่เป็นเครื่องมือสำคัญที่สร้างแรงจูงใจให้ระบบไร้ศูนย์กลางทำงานได้จริง

อีกด้านหนึ่ง Gas ยังทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันการโจมตีระบบ ตัวอย่างเช่น หากไม่มีค่าใช้จ่ายในการส่งคำสั่ง ผู้ไม่หวังดีสามารถส่งธุรกรรมเปล่า ๆ เข้ามาในระบบนับล้านครั้งเพื่อตั้งใจทำให้ระบบล่มหรือหน่วง ซึ่งเรารู้จักกันในชื่อ Spam Attack แต่การมี Gas ทำให้ผู้ใช้ต้องคิดให้ดีก่อนจะทำอะไร เพราะทุกคำสั่งที่ส่งเข้าระบบมีต้นทุน

ค่าธรรมเนียมคำนวณจากอะไร?

ค่าธรรมเนียม Gas เกิดจากการคำนวณ 2 ปัจจัยร่วมกัน คือ ปริมาณ Gas ที่ใช้ และ ราคาของ Gas ต่อหน่วย (Gas Price) โดยปริมาณ Gas ขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของธุรกรรม ยิ่งคำสั่งมีการคำนวณมาก เช่น การ Swap ผ่าน DEX หรือการ mint NFT ก็จะยิ่งใช้ Gas เยอะ ส่วนราคาของ Gas ต่อหน่วยนั้นขึ้นกับสภาพแวดล้อมของเครือข่ายในขณะนั้น ถ้ามีคนใช้ระบบพร้อมกันเยอะ ราคาต่อหน่วยก็จะสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ผู้ใช้สามารถกำหนดจำนวนที่ต้องการจ่ายได้ผ่านค่า Priority (หรือ Max Fee) หากใครจ่ายมากก็จะได้คิวประมวลผลก่อน คนที่จ่ายน้อยก็อาจต้องรอ หรือถูกเลื่อนออกไปเรื่อย ๆ ในช่วงเวลาที่เครือข่ายแออัด

เมื่อค่าธรรมเนียมกลายเป็นอุปสรรค

ปัญหาเริ่มปรากฏชัดในช่วงปลายปี 2020 ถึง 2021 เมื่อ Ethereum กลายเป็นบ้านหลักของเทรนด์ DeFi และ NFT ผู้คนแห่กันมาใช้แพลตฟอร์มอย่าง Uniswap, OpenSea, Aave และอื่น ๆ ส่งผลให้เครือข่าย Ethereum แทบจะแออัดตลอดเวลา ค่าธรรมเนียมสำหรับการ Swap บางครั้งอาจสูงถึง $100 หรือมากกว่า

สำหรับผู้ใช้ทั่วไปโดยเฉพาะรายย่อย การต้องจ่าย Gas หลายร้อยบาทสำหรับธุรกรรมเล็ก ๆ นั้นเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผล และกลายเป็นข้อจำกัดในการเข้าถึงโลก DeFi

เหตุการณ์นี้จึงกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ Ethereum และโลกคริปโตโดยรวมต้องหาทางแก้ปัญหาอย่างจริงจัง

การพัฒนาเพื่อลดภาระ Gas

Ethereum ไม่ได้นิ่งนอนใจ หนึ่งในการอัปเกรดสำคัญคือการเปิดใช้ EIP-1559 ซึ่งเป็นกลไกการเผาเหรียญ (burn) ค่าธรรมเนียมบางส่วนแทนที่จะจ่ายทั้งหมดให้กับ Validator การเผานี้ช่วยควบคุมปริมาณ ETH และทำให้โครงสร้างค่าธรรมเนียมมีความคาดเดาได้มากขึ้น

นอกจากนั้นยังมีการเร่งพัฒนาเครือข่าย Layer-2 อย่างเช่น Arbitrum, Optimism, zkSync ซึ่งเป็นเครือข่ายย่อยที่ทำงานนอก Ethereum mainnet แต่สามารถนำผลลัพธ์มาอัปเดตกลับเข้าสู่ Ethereum ได้อย่างปลอดภัยและรวดเร็ว โดยค่าธรรมเนียมบน Layer-2 เหล่านี้ถูกกว่าหลายเท่า ทำให้ผู้ใช้สามารถทำธุรกรรมในราคาหลักสิบบาทหรือแม้แต่ไม่ถึงบาท

เครือข่ายอื่นอย่าง BNB Chain, Solana และ Avalanche ก็แข่งขันกันด้านต้นทุนเช่นกัน ซึ่งเป็นสัญญาณว่าค่าธรรมเนียมไม่ใช่เพียงเรื่องเทคนิคอีกต่อไป แต่เป็นเครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์เพื่อดึงดูดผู้ใช้งานเข้าสู่ระบบนิเวศของตัวเอง

ทิศทางของ Gas Fee ในอนาคต

แม้ค่าธรรมเนียม Gas จะยังคงมีอยู่ต่อไป แต่วิวัฒนาการของระบบกำลังมุ่งสู่การ "ซ่อนความซับซ้อน" ออกไปจากประสบการณ์ของผู้ใช้ เช่น การใช้ระบบที่ Dapp เป็นผู้จ่าย Gas ให้แทนผู้ใช้งาน หรือการใช้ระบบ Subnet และ Appchain ที่ผู้ใช้สามารถทำธุรกรรมได้โดยไม่ต้องรู้จักคำว่า “Gas” เลยก็เป็นได้

โครงการอย่าง Account Abstraction และระบบ Paymaster ที่จะให้แอปหรือผู้พัฒนาเป็นคนจ่ายค่าธรรมเนียมแทนผู้ใช้ ก็กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาเช่นกัน

ในอนาคต การเข้าถึงโลก Web3 จะไม่จำเป็นต้องเข้าใจเรื่องค่าธรรมเนียมในเชิงเทคนิคอีกต่อไป แต่เบื้องหลัง ทุกการคลิก ทุกการโอน และทุก Smart Contract ที่คุณใช้งาน ยังคงทำงานได้เพราะระบบที่ชื่อว่า Gas นี้ยังคงอยู่

บทสรุป

Gas Fee ไม่ใช่เพียงค่าธรรมเนียมธรรมดา แต่มันคือกลไกสำคัญที่ทำให้โลกไร้ศูนย์กลางทำงานได้อย่างมีเสถียรภาพ เป็นเครื่องมือสร้างแรงจูงใจ ป้องกันการโจมตี และกำหนดโครงสร้างทางเศรษฐกิจให้กับเครือข่ายที่ไม่มีใครควบคุม

เมื่อคุณเข้าใจ Gas Fee คุณจะเข้าใจมากกว่าแค่ต้นทุน
แต่จะเข้าใจ “ระบบนิเวศ” ของคริปโตว่าอะไรขับเคลื่อนมันให้เดินหน้าไปข้างหน้าอย่างมั่นคง

ในโลกที่ไม่มีตัวกลาง ไม่มีธนาคาร และไม่มีเซิร์ฟเวอร์กลาง Gas คือสิ่งเล็ก ๆ ที่ขับเคลื่อนระบบทั้งหมดให้ยังคงทำงาน

 


 

Source

https://www.coinbase.com/learn/crypto-basics/what-are-gas-fees

https://www.investopedia.com/terms/g/gas-ethereum.asp

 

 

เขียนโดย

User profile image

Thanakit Sutto

Finance content writer with a passion for investing, believes that good knowledge empowers smart decisions.

แท็ก:


บทความนี้มีประโยชน์สำหรับคุณหรือไม่?

0

0


บทความที่เกี่ยวข้อง

TrustFinance ใช้คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์เพื่อปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานของคุณ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ในนโยบายคุกกี้