สำหรับเทรดเดอร์แล้วการเลือกโบรกเกอร์ Forex นับเป็นด่านแรกที่ต้องเผชิญ หากเลือกโบรกเกอร์ที่ไม่ตรงตามวัตถุประสงค์หรือต้นทุนก็อาจเกิดข้อผิดพลาดในการเทรดได้ ในบทความนี้จะกล่าวถึงวิธีการเลือกโบรกเกอร์ให้ตรงกับสไตล์การลงทุนของเทรดเดอร์โดยเฉพาะ
(ภาพที่มา : https://www.mitrade.com/th/insights/forex/basics/what-is-forex-broker)
โบรกเกอร์ Forex คืออะไร?
โบรกเกอร์ Forex คือผู้ให้บริการที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างนักลงทุนและตลาดการเงิน ช่วยให้นักลงทุนสามารถเข้าถึงการซื้อขายสกุลเงินและสินทรัพย์อื่น ๆ ได้อย่างง่ายดายผ่านแพลตฟอร์มการเทรด โบรกเกอร์จะทำหน้าที่ดำเนินการคำสั่งซื้อขายตามที่นักลงทุนต้องการ พร้อมทั้งเสนอเครื่องมือวิเคราะห์ทางการเงินเพื่อช่วยให้การตัดสินใจง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังมีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการซื้อขาย ซึ่งเป็นหนึ่งในแหล่งรายได้หลักของโบรกเกอร์
โบรกเกอร์แต่ละรายมีจุดเด่นและบริการที่แตกต่างกันไป บางโบรกเกอร์อาจมีค่าธรรมเนียมที่ต่ำกว่า บางรายอาจเสนอโปรโมชั่นที่น่าสนใจ เช่น โบนัสเงินฝาก หรือเสนอแพลตฟอร์มที่มีเครื่องมือการเทรดที่ทันสมัย เช่น ระบบวิเคราะห์อัตโนมัติหรือเครื่องมือการจัดการความเสี่ยง
เมื่อคุณเลือกโบรกเกอร์ Forex สิ่งสำคัญคือการเปรียบเทียบปัจจัยหลาย ๆ ด้าน เช่น ค่าธรรมเนียม ความเร็วในการดำเนินการ การสนับสนุนลูกค้า รวมถึงความน่าเชื่อถือของโบรกเกอร์ ซึ่งเราจะกล่าวถึงในย่อหน้าถัดไป

ปัจจัยที่ควรพิจารณาในการเปรียบเทียบโบรกเกอร์
การคัดเลือกโบรกเกอร์ Forex ที่ดีที่สุดจำเป็นต้องสังเกตจากข้อมูลปัจจัยเพื่อนำมาเปรียบเทียบกัน ซึ่งการพิจารณาโบรกเกอร์ไม่อาจใช้ข้อมูลเพียงอย่างเดียวมาตัดสินได้ แต่ต้องพินิจจากข้อมูลหลายส่วนร่วมกันเพื่อเปรียบเทียบหาผลลัพธ์ที่ดีที่สุด โดยข้อมูลสำคัญที่ต้องนำมาใช้เปรียบเทียบมีด้วยกัน ดังนี้
มีใบอนุญาตกำกับดูแลจากหน่วยงานสากล
ใบอนุญาตและการกำกับดูแลเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกเพราะการเลือกโบรกเกอร์ที่มีใบอนุญาตจากหน่วยงานที่เชื่อถือได้ระดับสากล จะช่วยหลีกเลี่ยงการถูกฉ้อโกงจากโบรกเกอร์เถื่อนหรือผู้ไม่หวังดี ใบอนุญาตจากหน่วยงานสากลจะช่วยรองรับความปลอดภัยได้เป็นอย่างดี หากโบรกเกอร์ทุจริตระหว่างดำเนินงานก็สามารถแจ้งให้ทางหน่วยงานรับรองมาตรวจสอบได้

ประเภทบัญชีที่ซัพพอร์ต
โบรกเกอร์แต่ละแห่งอาจมีชื่อเรียกที่ต่างกันแต่รายละเอียดมักจะคล้ายกัน สำหรับเทรดเดอร์มือใหม่จะเสนอบัญชีประเภท Cent ที่มีหน่วยเทรดเล็กที่สุดซึ่งจะช่วยลดโอกาสล้างพอร์ตและความเสี่ยงขาดทุนจำนวนมาก แต่กลับกันเมื่อได้รับกำไรก็จะได้จำนวนเล็กน้อยเช่นกัน
ค่าธรรมเนียมที่ดีจะช่วยประหยัดต้นทุน
ค่าธรรมเนียมของโบรกเกอร์ Forex ไม่ว่าจะเป็นค่าสเปรด ค่าสวอป หรือค่าคอมมิชชันก็ตามล้วนมีค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกัน ซึ่งเทรดเดอร์ต้องพิจารณาค่าธรรมเนียมในข้อกำหนดของโบรกเกอร์เพื่อนำมาใช้เปรียบเทียบ

(ภาพที่มา : https://www.babypips.com/learn/forex/what-is-a-spread-in-forex-trading)
แพลตฟอร์มการซื้อขาย
โบรกเกอร์ที่มีทางเลือกให้แก่ลูกค้าย่อมสร้างความได้เปรียบของโอกาสการทำกำไรได้เป็นอย่างดี เนื่องด้วยความถนัดของบุคคลล้วนแตกต่างกันการใช้เครื่องมือต่าง ๆ จึงมีผลต่อการเทรด โดยแพลตฟอร์มที่เทรดเดอร์นิยมใช้ เช่น MetaTrader 4, MetaTrader 5 หรือ TradingView
(ภาพที่มา : https://www.oanda.com/bvi-th/cfds/platforms/)
เครื่องมือช่วยวิเคราะห์ตลาด Forex
บริการเพิ่มเติมจากโบรกเกอร์ที่เทรดเดอร์นำไปใช้ประโยชน์เพื่อก่อกำไรได้ หมายความว่าโบรกเกอร์ที่มีเครื่องมือหลายชนิดและอย่างที่คุณต้องการจะช่วยให้การเทรดนั้นมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเครื่องมือวิเคราะห์มีมากมายหลายชนิด เช่น เครื่องมือคำนวณมูลค่าต่าง ๆ เครื่องมือวัดแนวโน้มตลาด แหล่งการเรียนรู้ หรือ ข่าวสาร เป็นต้น

บริการดูแลลูกค้า
ต้องตรวจสอบถึงวิธีติดต่อ Support Chat ว่าสามารถติดต่อได้สะดวกและรวดเร็วหรือไม่ เพราะเมื่อเกิดปัญหาขึ้นการติดต่อที่ศูนย์บริการลูกค้าย่อมเป็นสิ่งที่คำนึงถึงอันดับแรก รวมถึงต้องคอยตรวจสอบรีวิวฝ่ายสนับสนุนลูกค้าจากการใช้บริการของโบรกเกอร์อยู่เสมอ
เงื่อนไขการซื้อขาย
เป็นสิ่งที่เทรดเดอร์หลายคนมักจะมองข้ามที่สามารถส่งผลกระทบต่อพอร์ตได้ โดยโบรกเกอร์แต่ละแห่งจะมีเงื่อนไขสำคัญบางอย่างที่แตกต่างกันออกไป เช่น ข้อกำหนดขั้นต่ำการฝากเงิน, ขนาดการซื้อขายต่ำสุดและสูงสุด หรือ นโยบายการถอนเงิน เป็นต้น
รีวิวและประวัติของโบรกเกอร์
การอ่านรีวิวจากผู้ใช้งานจริงและประวัติที่ผ่านมาของโบรกเกอร์จะช่วยตัดสินใจได้เป็นอย่างดี เพื่อทราบถึงความน่าเชื่อถือก่อนเริ่มใช้งาน นักลงทุนสามารถอ่านรีวิวโบรกเกอร์ ได้จากช่องทางออนไลน์ต่างๆ หรือบนแพลตฟอร์ม TrustFinance แพลตฟอร์มที่รวบรวมข้อมูลและรีวิวของบริษัททางการเงิน กว่า 180,000 บริษัท


ค้นหาโบรกเกอร์ที่เหมาะกับสไตล์การลงทุนยังไง?
การเลือกโบรกเกอร์ที่เหมาะสมกับสไตล์การลงทุนจะต้องคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ ที่ได้กล่าวไปข้างต้น ต่อไปนี้จะเป็นตัวอย่างของนักลงทุน A เปรียบเทียบโบรกเกอร์เพื่อเลือกเปิดบัญชีให้เหมาะสมกับสไตล์การลงทุนของตนเอง
ข้อมูลนักลงทุน A
ข้อมูลโบรกเกอร์ T และ J (นามสมมติ)
วิเคราะห์การเลือกโบรกเกอร์
เมื่อสังเกตเห็นข้อมูลและพิจารณาทั้งหมดแล้วจะพบว่านักลงทุน A ควรเลือกโบรกเกอร์ T ด้วยเหตุผลดังนี้
นักลงทุน A มีประสบการณ์การลงทุนเพียง 1 เดือนและความรู้ด้าน Forex ที่ยังน้อยทำให้การที่โบรกเกอร์มีแหล่งการเรียนรู้จะช่วยมอบทักษะความรู้ได้เป็นอย่างดี
นักลงทุน A มีความสามารถรับความเสี่ยงต่ำ การที่โบรกเกอร์มีบัญชี Cent จะช่วยจัดการลดความเสี่ยงได้เป็นอย่างดี
ค่าธรรมเนียมโดยรวมโบรกเกอร์ T จะได้เปรียบกว่าโบรกเกอร์ J
ถึงแม้ฝ่ายบริการลูกค้าของโบรกเกอร์ T จะไม่ได้เปิดให้บริการทุกวันตลอด 24 ชั่วโมงก็ไม่ได้มีผลมากนัก เนื่องด้วยตลาด Forex จะเปิดให้บริการแค่วันจันทร์ - วันศุกร์ตรงกับเวลาเปิดปิดของโบรกเกอร์ T
วัตถุประสงค์การลงทุนของนักลงทุน A ไม่มีความสัมพันธ์กับปริมาณการเทรดที่มาก
ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้นจึงทำให้นักลงทุน A ควรเลือกโบรกเกอร์ T ด้วยปัจจัยที่เกิดขึ้นนั่นเอง อย่างไรก็ตามโปรดทราบว่าการลงทุนมีความเสี่ยงควรศึกษาหาความรู้เกี่ยวการเทรด Forex ให้ละเอียดถี่ถ้วน
สรุป
การเลือกโบรกเกอร์ Forex ที่เหมาะสมเป็นขั้นตอนสำคัญสำหรับนักลงทุนทุกคน เนื่องจากโบรกเกอร์เป็นตัวกลางสำคัญที่ช่วยให้นักเทรดสามารถเข้าถึงตลาดการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ บทความนี้นำเสนอวิธีการเปรียบเทียบโบรกเกอร์โดยพิจารณาจากปัจจัยหลายด้าน เช่น ใบอนุญาต ค่าธรรมเนียม แพลตฟอร์มการเทรด และบริการสนับสนุนลูกค้า การเลือกโบรกเกอร์ที่ตรงกับสไตล์การลงทุนจะช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไรและลดความเสี่ยงในการเทรด
แหล่งอ้างอิง
https://admiralmarkets.sc/th/education/articles/forex-basics/choose-the-best-forex-cfd-broker
https://skilling.com/row/th/blog/trading-terms/what-is-a-broker/
