การเทรด Forex นั้นมาพร้อมกับต้นทุนสำคัญที่มักจะถูกมองข้าม นั่นคือ "ค่าธรรมเนียม" ซึ่งหลายคนอาจคิดว่าไม่ส่งผลกระทบมากนัก แต่ความจริงแล้วค่าธรรมเนียมสามารถสะสมและส่งผลกระทบต่อกำไรอย่างมาก ในบทความนี้ เราจะอธิบายประเภทค่าธรรมเนียมที่คุณควรรู้จัก วิธีการคำนวณ และเคล็ดลับในการลดต้นทุน เพื่อช่วยให้คุณสามารถเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ค่าธรรมเนียม Forex คืออะไร? ทำไมถึงต้องจ่าย?
การเทรด Forex จะมีผู้ให้บริการเป็นตัวกลางระหว่างเทรดเดอร์และตลาดการเงินก็คือ “โบรกเกอร์” โดยโบรกเกอร์จะได้รับรายได้จาก “ค่าธรรมเนียม (Brokerage fees)” ซึ่งเป็นค่าบริการในการส่งคำสั่งซื้อขายในฐานะพ่อค้าคนกลางที่ช่วยอำนวยความสะดวก โบรกเกอร์แต่ละแห่งมีการคิดค่าธรรมเนียมที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับประเภทของบัญชีที่เลือกใช้ และการแข่งขันที่สูงมากขึ้นของโบรกเกอร์เอง
ในอดีตค่าธรรมเนียมจากการเทรดค่อนข้างสูงเพราะต้องดำเนินการซื้อขายด้วยเอกสารผ่านสถาบันการเงินต่าง ๆ ทำให้เกิดการล่าช้า อีกทั้งผู้ให้บริการที่มีจำนวนน้อยจึงไม่แปลกที่ค่าธรรมเนียมจะสูง แต่ในปัจจุบัน เทคโนโลยีและอินเทอร์เน็ตทำให้การดำเนินการง่ายขึ้นและมีต้นทุนต่ำลง อย่างไรก็ตาม การรู้จักค่าธรรมเนียมต่างๆ จะช่วยให้คุณสามารถควบคุมต้นทุนได้ดีขึ้น
ประเภทของค่าธรรมเนียม Forex มีอะไรบ้าง?
ค่าสเปรด (Spread)
ค่าสเปรด คือ ส่วนต่างระหว่างราคาซื้อ (Bid) และราคาขาย (Ask) ของคู่สกุลเงิน ค่าสเปรดสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามสภาพคล่องของตลาด โดยโบรกเกอร์มักจะใช้วิธีการนี้ในการสร้างรายได้ ซึ่งแพลตฟอร์มการเทรดส่วนใหญ่จะมีราคาซื้อและขายปรากฏที่หน้า Market Watch
(ภาพที่มา : https://admiralmarkets.sc/th/education/articles/trading-instruments/brokerage-fees-explained)
วิธีคำนวณค่าสเปรด (Spread)
สมมติว่าค่าสเปรดของ EURUSD อยู่ที่ 1.1200/1.1205 หมายความว่า
ผู้ซื้อยินดีที่จะจ่ายสูงสุด 1.1200 ดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับ 1 ยูโร
ผู้ขายยินดีที่จะขาย 1 ยูโรในราคา 1.205 ดอลลาร์สหรัฐฯ
ส่วนต่างของราคาซื้อและราคาขายอยู่ที่ 5 pip ( 1.1205 - 1.1200 = 0.0005)
ส่วนต่าง 5 pip นี้คือค่าสเปรดของคู่เงิน EURUSD
***Tip***
ราคาซื้อ (Bid) คือราคาสูงสุดที่ผู้ซื้อยินดีจะจ่ายเพื่อซื้อสินทรัพย์หนึ่งหน่วย
ราคาขาย (Ask) คือราคาต่ำสุดที่ผู้ขายยินดีจะขายสินทรัพย์หนึ่งหน่วย
ค่าคอมมิชชัน (Commission)
ค่าคอมมิชชัน คือ ค่าธรรมเนียมที่โบรกเกอร์จะเรียกเก็บจากบริการที่แตกต่างกัน เช่น โบรกเกอร์ A ให้บริการประเภทบัญชีแบบ ECN (เป็นบัญชีที่เทรดเดอร์สามารถซื้อขายจากตลาดหลักทรัพย์ได้โดยตรงโดยมีโบรกเกอร์เป็นผู้อำนวยความสะดวก) โดยจะมีการเรียกเก็บค่าคอมมิชชันเพิ่มเติมจากการให้บริการ เป็นต้น ซึ่งค่าคอมมิชชันแต่ละโบรกเกอร์จะแตกต่างกันแล้วแต่กำหนด
ค่าสวอป (Swap)
ค่าสวอป (Swap) คือ ค่าธรรมเนียมสำหรับเทรดเดอร์ที่ถือสถานะซื้อขายข้ามคืน เมื่อเทรดเดอร์เปิดออเดอร์แล้วผ่านไปอีกวันหนึ่งเงินทุนของเทรดเดอร์จะถูกหักออกทันที แต่ถ้าหากเทรดเดอร์ปิดออเดอร์ในระหว่างวันจะไม่มีค่าใช้จ่ายประเภทนี้เกิดขึ้น ซึ่งค่าสวอปแต่ละโบรกเกอร์ล้วนแตกต่างกันจึงต้องเข้าไปดูผ่านข้อกำหนดจากเว็บไซต์ของโบรกเกอร์
ค่าธรรมเนียมอื่นๆ
นอกจากค่าสเปรด ค่าคอมมิชชัน และค่าสวอป บางโบรกเกอร์ยังเรียกเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม เช่น ค่ารักษาบัญชี ค่าถอนเงิน หรือค่าธรรมเนียมการแปลงสกุลเงิน
วิธีลดต้นทุนค่าธรรมเนียม
- เปรียบเทียบโบรกเกอร์
ควรเลือกโบรกเกอร์ที่มีค่าธรรมเนียมต่ำและเหมาะสมกับกลยุทธ์การเทรดของตัวเอง - เลือกบัญชีที่ไม่มีค่าคอมมิชชัน
โบรกเกอร์หลายแห่งเสนอบัญชีที่ไม่มีค่าคอมมิชชัน ซึ่งอาจช่วยลดต้นทุนการเทรดได้ - ใช้บัญชี Free Swap
หากคุณเป็นเทรดเดอร์ที่ถือสถานะข้ามคืนบ่อยๆ การเลือกบัญชีที่ไม่มีค่าสวอปอาจช่วยลดต้นทุนได้ โดยเงื่อนไขขึ้นอยู่กับโบรกเกอร์นั้นๆ เช่น ต้องนับถือศาสนาอิสลาม หรือ ฝากเงินขั้นต่ำ $1,000 เป็นต้น - หลีกเลี่ยงการเทรดข้ามคืน
หากคุณไม่ต้องการจ่ายค่าสวอป ควรหลีกเลี่ยงการเทรดข้ามคืน โดยการปิดสถานะภายในวัน ซึ่งอาจจะไม่เหมาะกับเทรดเดอร์สายถือ Long ที่เปิดสถานะซื้อขายในระยะยาว - เลือกโบรกเกอร์ที่มีค่าสเปรดคงที่ (Fixed Spread)
บางโบรกเกอร์เสนอค่าสเปรดคงที่ซึ่งอาจช่วยให้คุณคาดการณ์ต้นทุนได้ดีขึ้น โดยขึ้นอยู่กับข้อกำหนดและเงื่อนไขของโบรกเกอร์
สรุป
การรู้จักและควบคุมค่าธรรมเนียม Forex เป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่ช่วยให้คุณสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการเทรดและลดต้นทุนได้ การเลือกโบรกเกอร์ที่เหมาะสมและการเข้าใจเงื่อนไขค่าธรรมเนียมต่างๆ จะช่วยให้นักเทรดสามารถรักษาผลกำไรได้มากขึ้น
***การลงทุนมีความเสี่ยง โปรดศึกษาเงื่อนไขและข้อกำหนดของโบรกเกอร์แต่ละแห่งอย่างละเอียดก่อนเริ่มต้น***
แหล่งข้อมูล
