trustfinance-logo
TrustFinance

เทคนิคควบคุมความเสี่ยงในตลาด Forex ด้วย “Money Management” สำหรับเทรดเดอร์ที่มีเงินลงทุนไม่มาก

User profile image

TrustFinance Research Team

Thg 04 04, 2025

16

|

7 min read


Blog image

การบริหารเงินทุนนับเป็นกลยุทธ์ที่นักลงทุนควรนึกถึงทุกครั้งก่อนเริ่มต้นเปิดสถานะซื้อขาย หากจัดการได้ไม่ดีอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เงินลงทุนทั้งหมดหายไปได้  ดังนั้น Money Management จึงเป็นเทคนิคที่เข้ามาช่วยเหลือนักลงทุนให้เทรดอย่างปลอดภัยมากขึ้น ซึ่งในวันนี้เราจะมาเรียนรู้เกี่ยวกับเทคนิคการใช้ Money Management หรือการบริหารเงินทุนกันซึ่งมีประโยชน์อย่างมากสำหรับเทรดเดอร์ที่มีเงินลงทุนน้อย

Money Management คืออะไร?

 

เป็นกลยุทธ์วางแผนการใช้เงินให้เป็นระเบียบมากยิ่งขึ้น ซึ่งสำหรับตลาด Forex แล้ว Money Management จะใช้เมื่อต้องการลดความสูญเสียจากการขาดทุน หาจุดทำกำไรที่สมเหตุสมผล และมีการจัดการเงินทุนที่ดี

 

Money-Management

แหล่งที่มา : https://eatradingacademy.com/forex-money-management/

 

Money Management จะมุ่งเน้นไปที่การจัดการเงินลงทุนให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด และสำหรับเทรดเดอร์ที่ต้องการเรียนรู้เทคนิคต่อไปนี้จำเป็นต้องมีทักษะที่สำคัญที่สุดซึ่งก็คือ “วินัย”

ความสำคัญของ Money Management ที่เทรดเดอร์ควรรู้

 

  • ลดความเสี่ยงขาดทุนหนัก : การใช้เทคนิคของ Money Management จะช่วยนักลงทุนจำกัดความเสี่ยงหากเกิดข้อผิดพลาดจากการลงทุน
  • ทำกำไรในจุดที่เหมาะสม : กำไรที่ได้จากการเทรดชนะตลาดจะมีความสมเหตุสมผลไม่มากและไม่น้อยจนเกินไป เพื่อทำให้เทรดเดอร์สามารถยืนระยะอยู่ในตลาด Forex ได้ยาวนาน
  • ไม่ใช้อารมณ์สำหรับการคำนวณกำไร : หากนักลงทุนใช้อารมณ์ในการเทรด อาจทำให้นักลงทุนออก Lot ปริมาณมากโดยไม่สนใจความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น ดังนั้นการบริหารเงินทุนจึงเข้ามาช่วยแก้ปัญหานี้
  • สร้างวินัย : ทักษะนี้เป็นสิ่งที่เทรดเดอร์ควรมีเพื่ออยู่รอดในตลาด Forex การปฏิบัติตามแผนการบริหารเงินจะช่วยสร้างวินัยในการเทรดให้กับคุณ

3 เทคนิค Money Management อ่านจบแล้วนำไปใช้ได้เลย!!

 

ถัดไปจะเป็นการแนะนำเทคนิคบริหารเงินลงทุนที่ได้การยอมรับจากเว็บไซต์หลายแห่ง โดยจะไล่ตั้งแต่เทคนิคที่ใช้งานง่ายไปจนถึงยากที่สุด เพื่อให้เทรดเดอร์ได้ตัดสินใจเลือกใช้

  1. Position Sizing ออก Lot เท่าไหร่ดี?

 

เป็นกลยุทธ์คำนวณวิเคราะห์หา Lot ที่เหมาะสมกับการลงทุนในแต่ละครั้ง เพื่อควบคุมความเสี่ยงให้ดีที่สุด โดยการคำนวณจำเป็นต้องทำตาม 4 ขั้นตอนดังนี้

 

ขั้นตอนที่ 1 : ตั้งจุด Stop Loss

 

Stop Loss คือเครื่องมือปิดออเดอร์อัตโนมัติเพื่อขาดทุน / กำไรในจุดที่ต้องการ ซึ่งการกำหนดจุด Stop Loss ควรเริ่มวัดระยะก่อนเปิดออเดอร์เทรดและไม่ควรปรับเปลี่ยนระดับ Stop Loss หลังจากเปิดออเดอร์แล้วโดยเด็ดขาด เพราะจะเป็นการสร้างนิสัยที่ไม่มีระเบียบวินัยต่อตนเองและอาจทำให้เกิดข้อผิดพลาดสำหรับการลงทุนในอนาคต

 

Money-Management

ที่มาของภาพ : https://merkle.capital/articles/how-to-stop-loss

 

ขั้นตอนที่ 2 : กำหนดความเสี่ยงที่รับได้

 

ความเสี่ยงนี้จะเป็นตัวบ่งชี้ว่าเทรดเดอร์จะยอมขาดทุนได้เต็มที่เท่าไหร่เมื่อเทียบกับขนาดของพอร์ต ซึ่งโดยส่วนมากขนาดความเสี่ยงที่รับได้มักจะอยู่ที่ 1 - 5% ระดับความเสี่ยงที่แตกต่างกันมักจะส่งผลต่อผลลัพธ์ด้วยเช่นกัน หากรับความเสี่ยงได้มาก กำไรก็ได้เยอะ แต่หากขาดทุนก็ต้องเสียเงินลงทุนจำนวนมากเช่นกัน แต่กลับกันถ้ารับความเสี่ยงได้น้อยกำไรที่ได้รับก็น้อยแต่ก็ขาดทุนไม่มากเช่นเดียวกัน

 

“ซึ่งนักลงทุนจะต้องกำหนดเงินลงทุนด้วยตนเองอย่างมีเหตุผล”

 

ตัวอย่างคำนวณหาเงินลงทุนโดยใช้เปอร์เซ็นต์ความเสี่ยงที่ยอมรับได้เทียบกับเงินในพอร์ต

ขนาดเงินลงทุน

1%

2%

3%

4%

5%

$100,000

$1,000

$2,000

$3,000

$4,000

$5,000

$500,000

$5,000

$10,000

$15,000

$20,000

$25,000

$1,000,000

$10,000

$20,000

$30,000

$40,000

$50,000

$2,500,000

$25,000

$50,000

$75,000

$100,000

$125,000

 

ยกตัวอย่างเช่น ผมมีเงินลงทุน $100,000 แต่ผมพร้อมขาดทุนสูงสุด $1,000 ในการเทรดแต่ละครั้งจึงเลือกเปอร์เซ็นต์ความเสี่ยงที่ 1%

 

ขั้นตอนที่ 3 : พิจารณา Pip Values

 

Pip คือหน่วยของการเปลี่ยนแปลงของราคาในตลาด Forex ซึ่งหน่วย Pip จะเปลี่ยนแปลงไปตามประเภทและขนาด Lot ที่กำหนด

 

ประเภทของ Lot

Standard Lot : มีค่าเท่ากับการเทรด 100,000 unit

Mini Lot : มีค่าเท่ากับการเทรด 10,000 unit

Micro Lot : มีค่าเท่ากับการเทรด 1,000 unit

Nano Lot : มีค่าเท่ากับการเทรด 100 unit

 

ในแต่ละสกุลเงิน Pip Values จะมีมูลค่าที่แตกต่างกันออกไป สามารถเข้าไปดูมูลค่า Pip เทียบกับ Lot ในสกุลเงินแต่ละประเทศได้ที่ Mataf

 

ตัวอย่างมูลค่า Pip เทียบกับประเภท Lot ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ

1 Standard Lot: 1 pip = 10 USD

1 Mini Lot : 1 pip = 1 USD

1 Micro Lot : 1 pip = 0.10 USD

1 Nano Lot : 1 pip = 0.01 USD

ขั้นตอนที่ 4 : กำหนด Lot Size

เป็นการนำข้อมูลทั้ง 3 ขั้นตอนมารวมเป็นตัวแปรเพื่อใช้ในสูตรคำนวณขนาด Lot ที่เหมาะสม ซึ่งผู้อ่านสามารถเข้าไปศึกษารายละเอียดวิธีการคำนวณได้ที่บทความก่อนหน้านี้ในชื่อ “วิธีคำนวณ Lot Size สำหรับมือใหม่พร้อมเคล็ดลับ” ซึ่งจะกล่าวถึงการคำนวณ Lot อย่างละเอียดเพื่อป้องกันความเสี่ยง

Lot Size = (Balance x %Risk) / Point of Stop Loss

  1. Correlation ตัวชี้วัดขจัดความเสี่ยง

 

เป็นการวิเคราะห์ค่าความสัมพันธ์ระหว่าง 2 คู่เงินจากสินทรัพย์ต่าง ๆ ในตลาด Forex โดยค่าความสัมพันธ์สามารถเป็นไปได้ทั้งค่าบวกและลบ และนำไปบ่งชี้การเคลื่อนไหวของกราฟราคาว่าจะมีแนวโน้มไปในทิศทางเดียวกันหรือตรงกันข้าม โดยมีขั้นตอนดังนี้

ขั้นตอนที่ 1 : เข้าสู่ myfxbook

 

Money-Management

ภาพที่มา : https://www.myfxbook.com/forex-market/correlation

 

เข้าสู่ myfxbook ดูค่า Forex Correlation เพื่อให้เทรดเดอร์นำข้อมูลมาวิเคราะห์ความน่าจะเป็นของแนวโน้มทิศทางราคาที่จะเกิดขึ้น

ขั้นตอนที่ 2 : ค้นหาค่าความสัมพันธ์ของคู่เงิน

 

Money-Management

ภาพที่มา : https://uhas.com/forex-correlation/

 

ในรูปภาพกรอบสีน้ำเงิน และ กรอบสีส้มจะนำมาใช้เทียบค่าความสัมพันธ์กัน และมีตัวเลขตรงมากมายระหว่างคอลัมน์และแถวซึ่งเรียกว่า “ค่าความสัมพันธ์” เช่น คู่เงิน CADCHF เมื่อเทียบกับคู่เงิน AUDCAD จะมีค่าความสัมพันธ์คือ -90.1%

 

ขั้นตอนที่ 3 : วิเคราะห์ค่าความสัมพันธ์เพื่อหาแนวโน้ม

 

ในขั้นตอนนี้เราจะนำสองคู่เงินมาเปรียบเทียบกันเพื่อวิเคราะห์แนวโน้มที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต โดยค่าความสัมพันธ์จะมีระดับที่แตกต่างกัน ดังนี้

 

  • 0% – 39% มีความสัมพันธ์ในระดับต่ำ
  • 40% – 79% มีความสัมพันธ์ในระดับปานกลาง
  • 80% – 100% มีความสัมพันธ์ในระดับสูง

 

หากค่าความสัมพันธ์มีค่าเป็นบวก (+) หมายความว่า ราคาของคู่เงินนั้นมีโอกาสจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน

หากค่าความสัมพันธ์มีค่าเป็นลบ (–) หมายความว่า ราคาของคู่เงินนั้นมีโอกาสจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่สวนทางกัน

 

ตัวอย่างการวิเคราะห์หาค่าความสัมพันธ์ระหว่าง USD/CHF และ EUR/USD

Money Management

ภาพที่มา : https://www.dailyfx.com/education/forex-trading-basics/forex-currency-correlation-in-fx-trading.html

 

ผมติดตามคู่เงิน USD/CHF และ EUR/USD และพบว่าทั้งสองมีค่าความสัมพันธ์อยู่ที่ -59.1% อยากทราบว่าควรเทรดในทิศทางไหน?

 

ผลการวิเคราะห์

- หากคู่เงิน USD/CHF ปรับตัวขึ้นจะมีโอกาสที่คู่เงิน EUR/USD จะปรับตัวลง

- หากคู่เงิน USD/CHF ปรับตัวลงจะมีโอกาสที่คู่เงิน EUR/USD จะปรับตัวขึ้น

- ทั้งสองคู่เงินมีแนวโน้มทิศทางสวนทางกัน

- หากต้องการส่งคำสั่ง Buy ในคู่เงิน USD/CHF ก็ไม่ควรส่งคำสั่ง Buy ในคู่เงิน EUR/USD พร้อมกันเพื่อป้องกันความเสี่ยง

  1. Recovery Rate วัดความสามารถฟื้นคืนชีพพอร์ตลงทุน

 

เป็นเปอร์เซ็นต์ตัวชี้วัดที่ช่วยบ่งบอกประสิทธิภาพของกลยุทธ์เมื่อขาดทุนบ่อย ๆ จะมีเปอร์เซ็นต์เท่าไหร่ที่จะกลับมาทำกำไร ซึ่งการคำนวณนั้นไม่ใช่เรื่องยากเพียงใช้สูตรนี้

 

Recovery Rate = ( Profit from Recovery /  Maximum Drawdown) × 100

 

Profit from Recovery คือ กำไรสุทธิที่ได้รับ นับตั้งแต่ไม้แรกหลังจากขาดทุนมายาวนาน

Maximum Drawdown คือ การขาดทุนสูงสุดที่เกิดขึ้นติดต่อกันในช่วงเวลาหนึ่ง

 

ตัวอย่าง

 

ผมขาดทุนอย่างหนักหน่วงมาระยะหนึ่งสูงสุดที่ 4,000 บาทแต่หลังจากนั้นก็สามารถกลับมาทำกำไรได้อีกครั้งที่ 1,000 บาท เมื่อใช้สูตรคำนวณจะมีผลลัพธ์ดังนี้

 

Recovery Rate = ( 1,000 /  4,000 ) × 100

Recovery Rate = 25%

 

เมื่อคำนวณแล้วผมมี Recovery Rate อยู่ที่ 25% ซึ่งเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างน้อยผมอาจจะต้องปรับกลยุทธ์เพื่อทำกำไรให้มากยิ่งขึ้น

 

แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าค่า Recovery Rate ที่ดีคือเท่าไหร่?

 

โดยทั่วไปแล้วค่า Recovery Rate ยิ่งสูงเท่าไหร่ก็จะยิ่งดีเพราะแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของกลยุทธ์ ซึ่งจะขอประเมินตัวเลขของ Recovery Rate ดังนี้

 

  • ต่ำกว่า 25% = น้อยมาก
  • 25% - 49% = น้อย
  • 50% - 74% = ปานกลาง
  • 75% - 100% = ดี
  • มากกว่า 100% = ดีมาก

สรุป

Money Management เป็นหัวใจสำคัญของการเทรด Forex การมีระบบการบริหารจัดการเงินที่ดีจะช่วยให้คุณสามารถเทรดได้อย่างมั่นใจ และเพิ่มโอกาสในการทำกำไรได้ในระยะยาว ซึ่งการใช้เทคนิคต่อไปนี้ของการบริหารเงินทุนสิ่งสำคัญเลยคือการมี “วินัย”

 

โดยบทความนี้ได้แนะนำ 3 เทคนิคต่อไปนี้เพื่อบริหารเงินลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้แก่

  1. Position Sizing : เป็นกลยุทธ์คำนวณวิเคราะห์หา Lot ที่เหมาะสมกับการลงทุนในแต่ละครั้ง
  2. Correlation : เป็นการวิเคราะห์ค่าความสัมพันธ์ระหว่าง 2 คู่เงินในตลาด Forex
  3. Recovery Rate : เป็นเปอร์เซ็นต์ตัวชี้วัดที่ช่วยบ่งบอกประสิทธิภาพของกลยุทธ์เมื่อขาดทุนบ่อย ๆ จะมีเปอร์เซ็นต์เท่าไหร่ที่จะกลับมาทำกำไร

 


 

แหล่งที่มา :

https://eaforexcenter.com/money-management/

https://www.startrader.com/th/knowledge-basics/money-management/

https://uhas.com/what-is-money-management/

https://www.moneybuffalo.in.th/money-series/trading-in-30-days/ep25

https://uhas.com/position-sizing/

https://forexthai.in.th/position-sizing-%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A-forex-traders-%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3/

https://mtrading.com/th/education/articles/forex-strategy/forex-trading-position-sizing-th

https://admiralmarkets.sc/th/education/articles/forex-basics/what-is-pip

https://www.lucid-trader.com/lot-size/

https://www.bravotradeacademy.com/knowledge/money-management/?srsltid=AfmBOoqgpwg-DWNm5T3n_KRRxYoKC0qnxfpjy2OfjA_e6gHWtst0tBUr#8_Position_sizing

 

 

เขียนโดย

User profile image

TrustFinance Research Team

Official TrustFinance research and editorial team, sharing insights, analysis, and best practices to help financial companies and traders build transparency, credibility, and growth.

แท็ก:


บทความนี้มีประโยชน์สำหรับคุณหรือไม่?

0

0


บทความที่เกี่ยวข้อง

TrustFinance ใช้คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์เพื่อปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานของคุณ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ในนโยบายคุกกี้